ประวัติศาสตร์เมืองพังงา
จากพงศาวดารปรากฏว่า ก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเมืองพังงาเป็นเมืองแขวงขึ้นกับเมืองตะกั่วป่า จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองเทียบเท่าเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง และโอนเมืองจากฝ่ายกรมท่ามาขึ้นเป็น ฝ่ายกลาโหมตั้งแต่นั้นมา โดยจาก ประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ และสืบค้นได้แน่ชัด ปรากฎว่าเมืองพังงาได้รับการจัดตั้งเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.2352 ซึ่งในปีนั้นเจ้าปะดุง กษัตริย์พม่าได้มอบหมายให้ อะเติงหวุ่น เป็นแม่ทัพ นำกองทัพเรือของพม่าได้เข้าตีเมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง เมืองถลาง และได้กวาดต้อนผู้คนไปรวมไว้ที่ค่าย ของตน และเผาเมืองถลางเสีย ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์กรมพระราชวังบวร ยกทัพหลวงจากกรุงเทพฯ มาช่วย และได้มาทันขับไล่ทหารพม่าหลบหนี
ระหว่างศึกได้มีราษฎรบางส่วนอพยพไปหลบภัยอยู่ที่ "กราภูงา” (ภาษามลายู แปลว่า ป่าน้ำภูงา) ที่มีภูเขาล้อมรอบ ครั้งเสร็จศึกแล้วกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงพระราชดำริว่า พม่าได้เผาเมืองถลาง ทำให้บ้านเมืองอ่อนแอลงยากที่จะสร้างขึ้นใหม่ จึงโปรดให้รวบรวมพลเมืองจากถลางข้ามฝากมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ "กราภูงา” และจัดการปกครองเป็นเมืองขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช ดังปรากฏว่ามีหมู่บ้านชื่อ "ถลาง” ซึ่งเป็นผู้คนที่อพยพจากอำเภอถลาง มาอยู่ในเขตท้องที่อำเภอตะกั่วทุ่งในปัจจุบัน
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงพระราชดำริที่จะปรับปรุงบูรณะหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกที่ถูกพม่าตีให้เข้มแข็ง จึงได้แต่งตั้งข้าราชการมาเป็นเจ้าเมืองดังกล่าว โดยให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และได้ทรงแต่งตั้งให้พระยาบริรักษ์ภูธร(แสง ณ นคร) เป็นเจ้าเมืองพังงาคนแรกในปี พ.ศ.2383 รวมทั้งได้ยุบเมืองตะกั่วทุ่ง เป็นอำเภอขึ้นกับเมืองพังงา ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ที่ประชุมเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ตจึงมีมติให้ยุบเมืองตะกั่วป่าให้ขึ้นกับ จังหวัดพังงา ตั้งแต่ พ.ศ. 2474 เป็นต้นมา แรกเริ่มที่ตั้งเป็นเมืองนั้นที่ทำการของรัฐบาล อยู่ที่บ้านชายค่าย ต่อมา พ.ศ. 2473 จึงได้มาสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นที่บ้านท้ายช้าง ครั้น พ.ศ.2515 จึงได้สร้างศาลากลางหลังใหม่ขึ้นบริเวณถ้ำพุงช้างจนถึงปัจจุบัน
ประวัติเจ้าเมืองพังงา
พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) เป็นบุตรคนที่สองในจำนวนบุตรธิดา 27 คน ของเจ้าพระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ท่านเกิดที่เมืองไทรบุรี ระหว่างที่บิดายังว่าราชการอยู่ที่เมืองนั้น ปีที่ท่านเกิดไม่ทราบแน่นอน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเล่าไว้ว่า “ตัวพระยาบริรักษ์เองเกิดที่เมืองไทรบิดาเป็นเจ้าเมือง พระยาเสนานุชิตเก่าเป็นปลัดเมื่อแตก(จากการโจมตีของแขกไทรบุรี)มาพอจำได้”ก็พอจะสันนิษฐานได้ พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ว่าราชการเมืองไทรบุรีระหว่าง พ.ศ.2364 – 2382 เข้าใจว่าพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) คงเกิดราวต้นหรือกลางช่วงระยะเวลาดังกล่าว จึงบอกได้ว่าเมื่อแขกกบฏยึดเมืองไทรบุรี พอจำความได้
พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ได้ปฏิบัติราชการช่วยบิดาอยู่ที่เมืองพังงาจนได้เป็นที่พระภักดีขุนชิต ผู้ช่วยราชการต่อมาได้เลื่อนเป็นพระยาบริรักษ์ภูธรผู้ว่าราชการเมืองพังงาแทนบิดาซึ่งถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ.2404 ในตอนแรก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มีพระราชประสงค์จะโยกย้าย ผู้ว่าราชการเมืองในแถบนั้นตามลำดับอาวุโส เพราะเมืองพังงาได้รับยกฐานะเป็นเมืองใหญ่ระดับเมืองโทมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อผู้ว่าราชการเมือง คือ พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ถึงอนิจกรรม จึงได้มีท้องตราให้ย้ายพระยาเสนานุชิต (นุช) ผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองพังงาแทน และให้พระภักดีนุชิต (ขำ) บุตรพระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ซึ่งเป็นผู้ช่วยราชการเมืองพังงา และเป็นหลานของพระยาเสนานุชิต (นุช) ไปเป็นผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า แต่พระยาเสนานุชิต (นุช) ขอพระราชทานรับราชการอยู่ที่เดิม จึงต้องเปลี่ยนคำสั่งให้พระภักดีนุชิต (ขำ) เลื่อนเป็นพระยาบริรักษ์ภูธร เป็นผู้ว่าราชการเมืองพังงาแทนบิดา ทำให้ต้องลดฐานะเมืองพังงาลงเป็นเมืองตรี เปลี่ยนฐานะเมืองตะกั่วป่าเป็นเมืองโท ให้เมืองถลาง เมืองตะกั่วทุ่งมาขึ้นต่อ
มีการแต่งตั้งเจ้าเมืองกรรมการในหัวเมืองชายทะเลฝ่ายตะวันตกในคราวเดียวกันนั้น สำหรับเมืองพังงาได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระภักดีนุชิต (ขำ) ผู้ช่วยราชการเมืองพังงาขึ้นเป็นพระยาบริรักษ์ภูธร บวรสวามิภักดิ์ เสนามาตย์ราชมนตรี ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองพังงา พระราชทานเครื่องยศ คือ ถาดหมากทองคำ คนโททองคำ ประคำทองคำสายหนึ่ง กระบี่บั้งทอง สัปทนปัศตูแดง และเสื้อเข้มขาบริ้วหนึ่งตัวใน พ.ศ.2433 ปลายชีวิตของพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสเมืองพังงาทรงชมเชยว่าเป็นผู้ว่าราชการเมืองที่มีระเบียบรักษาบ้านเมืองดีถนนหนทางไม่ปล่อยให้ทรุดโทรม เป็นเจ้าเมืองมานานรอบรู้ราชการมากทรงซักถามอะไรเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองตอบได้
เรื่องเมืองพังงาสมัยนั้น เรียกได้ว่าเป็นประวัติของคนคนเดียว คือ พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) บุตรของพระยาไทรบุรี ลูกเจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งได้มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองพังงาคนแรก พระยาพังงา (ขำ) ดูเหมือนจะตั้งใจถ่ายแบบเจ้าพระยานคร (น้อย) ไปประพฤติ คือ ซื่อตรง สิทธิ์ขาดและดูข้างดุร้ายผู้คนพากันเกรงกลัวนับถือมาก พระยาสโมสรสรรพการ (ทัด)* (* พระยาสโมสรสรรพการ ทัด ศิริสัมพันธ์ (พ.ศ.2392 – 2469) ออกไปอยู่เมืองพังงาเมื่อ พ.ศ. 2413 ขณะอายุได้ 21 ปี ภายหลังกลับมารับราชการกรุงเทพฯ ได้รับราชการหลายตำแหน่ง ครั้งสุดท้ายเป็นนายพลโทเจ้ากรมยุทธโยธาทหารบก)
พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองพังงาประมาณ ๓๓ ปี เป็นระยะเวลานานยาวนานจนถึงระยะที่มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเล่าไว้ว่า เมื่อโอนหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกมาขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทยทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงนั้น (ประกาศตั้งเสนาบดีลงวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ และมีการโอนหัวเมืองปักษ์ใต้ซึ่งเดิมขึ้นต่อกระทรวงกลาโหม มาขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗) ได้เสด็จไปตรวจราชการที่เมืองพังงาพบว่า ศพพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ยังคงเก็บไว้ที่เรือน คือถึงอนิจกรรมก่อนหน้านั้นไม่นานนัก หรือหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองพังงาครั้งหลังประมาณ ๓ – ๔ ปี
ข้อมูลด้านโบราณคดี
ได้มีการขุดค้นทางโบราณคดีพบเครื่องมือหิน ภาชนะดินเผา และภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ตามถ้ำ ในอ่าวพังงา อำเภอเมือง และอำเภอทับปุด ยังได้พบเทวรูปแกะสลักหินพระวิษณุหรือพระนารายณ์ และชิ้นส่วนเทวรูปบนเขาเวียง(เขาพระนารายณ์)อำเภอกะปงและอำเภอตะกั่วป่า ซึ่งจากหนังสือ มิลินทปัญหา (คัมภีร์ในพุทธศาสนา ราว พ.ศ.500) และ จดหมายเหตุของปโตเลมี (กรีก ราว พ.ศ.800) เชื่อได้ว่า มีนักเดินเรือ พ่อค้า นักบวช พราหมณ์ และช่างฝีมือจากอินเดียเดินทางเข้ามาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 5 เป็นต้นมา และเรียกชื่อเมืองในถิ่นนี้ว่า "ตะโกลา”บริเวณดังกล่าวนี้จึงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณเมื่อหลายพันปี ก่อนสืบต่อกันมา
จากหลักฐานศิลาจารึกเมืองดันชอร์ ประเทศอินเดีย จดหมายเหตุของชาวอาหรับ ตำนานนครศรีธรรมราช และการค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตก ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12-14 ชุมชนโบราณตะกั่วป่าได้พัฒนาเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางฝั่งทะเลอันดามัน เป็นชุมชนสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ที่ได้ผสมผสานวัฒนธรรมอินเดียเข้ากับ วัฒนธรรมพื้นเมือง มีการสร้างศาสนสถานและรูปเคารพตามแบบอย่างศาสนาฮินดู ส่วนพุทธศาสนาได้เข้ามามีบทบาทบางช่วงและมีบางกลุ่มยอมรับนับถือ พงศาวดารกล่าวว่า ก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น เมืองพังงาเป็นเมืองแขวงขึ้นอยู่กับเมืองตะกั่วป่า จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองเทียบเท่าเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงปรับปรุงบูรณะหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกที่ถูกพม่าตี ได้ทรงแต่งตั้งให้พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง ณ นคร) มาเป็นเจ้าเมืองพังงาคนแรกในปี 2383 ต่อมาเมืองตะกั่วทุ่งถูกยุบเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองพังงา ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ตั้งแต่นั้นมาเมืองพังงา เมืองตะกั่วป่า เมืองถลาง และเมืองระนอง เริ่มรุ่งเรืองขึ้นมาด้วยการค้าแร่ดีบุก ในปี 2437 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมณฑล เมืองพังงาและตะกั่วป่าขึ้นอยู่กับมณฑลภูเก็ต ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ที่ประชุมเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ตมีมติให้ยุบเมืองตะกั่วป่าไปขึ้นกับจังหวัด พังงาตั้งแต่ พ.ศ.2474 เป็นต้นมา จากนั้นพังงาก็ดำรงความเป็นเมืองท่าและเมืองแห่งเหมืองแร่ดีบุกควบคู่ไปกับ จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดระนองเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณปี 2524 ราคาแร่ดีบุกในตลาดโลกตกต่ำลง ภูเก็ตเริ่มเปลี่ยนเป็นเมืองท่องเที่ยว และขยายตัวไปยังจังหวัดกระบี่และพังงาตราบจนปัจจุบัน
สภาพทางภูมิศาสตร์
จังหวัดพังงามีเนื้อที่ประมาณ 4,171 ตารางกิโลเมตร และมีพื้นที่ที่เป็นป่าชายเลนและป่าดงดิบคิดเป็นร้อยละ 57 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยทางด้านทิศเหนือมีพื้นที่ติดกับจังหวัดระนองทางด้านทิศใต้มีพื้นที่ติดกับจังหวัดภูเก็ตและทะเลอันดามันทางด้านทิศตะวันออกมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดกระบี่ส่วนทางด้านทิศตะวันตกจะมีพื้นที่ติดต่อกับมหาสมุทรอินเดีย
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกจำปูน(Anaxagorea javanica)
ต้นไม้ประจำจังหวัด: เทพทาโร(Cinnamomum porrectum)
คำขวัญประจำจังหวัด: แร่หมื่นล้าน บ้านกลางน้ำ ถ้ำงามตา ภูผาแปลก แมกไม้จำปูน บริบูรณ์ด้วยทรัพยากร
หน่วยการปกครอง
การปกครองแบ่งออกเป็น 8 อำเภอ48 ตำบล314 หมู่บ้าน
สถานที่ท่องเที่ยว
อุทยานแห่งชาติศรีพังงา
อุทยานแห่งชาติศรีพังงาอยู่ในเขตอำเภอคุระบุรีและอำเภอตะกั่วป่าครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเทือกเขานมสาว เนื้อที่ 153,800 ไร่ เป็นประเภทป่าดิบชื้น พรรณไม้ที่สำคัญ เช่น ไม้ยาง ตะเคียนทอง ปาล์ม กระพ้อหนู ยังสามารถพบสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น สมเสร็จ เลียงผา เก้ง นกเงือก ประกาศเป็นอุทยานเมื่อ 16 เมษายนพ.ศ. 2531ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ
น้ำตกตำหนัง เป็นน้ำตกที่ตกจากหน้าผา สูง 63 เมตร มีน้ำตลอดทั้งปี ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 2 กิโลเมตร น้ำตกโตนต้นเตย เป็นน้ำตกที่ตกจากหน้าผา สูง 45 เมตร ตามทางเดินจะผ่านจุดชมทิวทัศน์ สามารถมองเห็นป่าเขาที่สมบูรณ์ของอุทยาน
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันตั้งอยู่ที่ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี(ที่ทำการอุทยานตั้งอยู่ที่ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง) ครอบคลุมพื้นที่ 80,000 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อ 1 กันยายนพ.ศ. 2525คำว่า สิมิลัน เป็นภาษายาวีหรือมลายู แปลว่า "เก้า" หมู่เกาะสิมิลันเป็นหมู่เกาะเล็ก ๆ ในทะเลอันดามันมี 9 เกาะ เรียงจากเหนือมาใต้ คือ เกาะหูยง เกาะปายัง เกาะปาหยัน เกาะเมี่ยง เกาะปายู เกาะหัวกะโหลก เกาะสิมิลัน และเกาะบางู หมู่เกาะสิมิลันได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่เกาะที่มีความสวยงามทั้งบนบกและใต้น้ำ มีปะการังที่สวยงามหลายชนิด สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก สามารถพบปลาที่หายาก เช่น วาฬ โลมา และปลาไหลมอเรย์ (moray) ช่วงเดือนที่น่าเที่ยวมากที่สุด คือช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน นอกจากนั้นจะประกาศปิดเกาะ
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ตั้งชื่อตามพระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล)เทศาเมืองภูเก็ต ผู้ค้นพบเกาะ เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพังงา มีลักษณะเป็นหมู่เกาะในทะเลอันดามัน อยู่ติดกับชายแดนไทย–พม่า มีพื้นที่ประมาณ 84,375 ไร่ ร้อยละ 76 ของพื้นที่เป็นทะเล ส่วนที่เหลือเป็นแผ่นดิน ประกอบด้วยเกาะ 5 เกาะ คือ เกาะสุรินทร์เหนือ เกาะสุรินทร์ใต้ เกาะไข่ (เกาะตอรินลา) เกาะกลาง (เกาะปาจุมบา) เกาะรี (เกาะสต๊อก) และ 1 กองหินปริ่มน้ำ คือกองหินริเชลิว เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมพ.ศ. 2524เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 29 ของประเทศไทย
หมู่เกาะสุรินทร์เป็นหมู่เกาะที่วางตัวอยู่ในกลุ่มอ่าวขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นที่บังคลื่นลมได้ดีทั้งสองฤดู คือ ฤดูร้อน และฤดูฝน จึงเป็นแหล่งกำเนิดแนวปะการังน้ำตื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านของชาวเลเลกลุ่มสุดท้ายที่ยังดำรงวัฒนธรรมดั้งเดิมมากที่สุด คือ มอแกนหรือ "ยิบซีแห่งท้องทะเล” ประมาณ 200 คน ปัจจุบันได้ตั้งหมู่บ้านอยู่ที่เกาะสุรินทร์ใต้ ขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว และบางส่วนทำงานเป็นลูกจ้างของอุทยานฯ
อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา
อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาเป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในจังหวัดพังงา มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 400 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ป่าชายเลนผืนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์คงสภาพธรรมชาติดั้งเดิมอยู่มาก เป็นป่าชายเลนกว้างใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยมีเนื้อที่ป่าโดยรวมทั้งจังหวัด 190,265 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 18.17 ของเนื้อที่ป่าชายเลนทั้งประเทศ (พ.ศ. 2539) เขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงานับตั้งแต่เขตอำเภอเมืองพังงาเลียบตามชายฝั่งจนถึงเขตอำเภอตะกั่วทุ่งและบริเวณพื้นน้ำในทะเลอันดามันซึ่งมีพื้นที่ร้อยละ 80 ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ประมาณ 42 เกาะ เช่น เกาะเขาเต่า เกาะพระอาตเฒ่า เกาะโบยน้อย เกาะโบยใหญ่ เกาะรายาหริ่ง เกาะพนัก เกาะห้อง เกาะปันหยี เขาพิงกัน เป็นต้น
เสม็ดนางชี
เสม็ดนางชีตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ ๒ ตำบลคลองเคียน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศของท้องฟ้าในยามค่ำคืน พระอาทิตย์ในยามเช้าและสุดยอดวิวที่สวยงามของอ่าวพังงาที่มีเขาหินปูนหลากหลายรูปแบบ เรียงรายกันอยู่อย่างสวยงาม การเดินทาง ใช้เส้นทางพังงา-โคกกลอยหรือโคกกลอย-พังงา เลี้ยวเข้าเส้นทางบ้านท่าอยู่ - คลองเคียน ระยะทางประมาณ ๑๕ กิโลเมตร และจะพบกับทางขึ้นจุดชมวิว อยู่ทางด้านขวามือ จะต้องเดินขึ้นหรือจะนั่งรถยนต์ขึ้นไปยังจุดชมวิวซึ่งมีระยะทางประมาณ ๗๐๐ เมตร
ทะเลหมอกเขาไข่นุ้ย
เขาไข่นุ้ย ตั้งอยู่ที่บ้านฝายท่า ต.ทุ่งมะพร้าว อ.ท้ายเหมือง เป็นจุดชมทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงอีกจุดหนึ่งของจังหวัดพังงา โดยเขาไข่นุ้ย มีความสูงประมาณ 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล บนยอดเขาไข่นุ้ยมีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและวิวทะเลหมอกที่มองเห็นได้ในมุมกว้าง ไกลเห็นทะเลหมอกขาวคลอเคลีย ปกคลุมทิวเขาน้อยใหญ่ โดยมีเขาลูกสูง ไล่ระดับเป็นมิติซ้อนกันมีแสงอาทิตย์ในยามเช้าสาดส่อง กระทบทะเลหมอกที่ลอยอยู่เบื้องล่างอย่างสวยงาม สำหรับกลุ่มเขาลูกน้อย ใหญ่ที่เห็นเบื้องหน้า มีแนวเขาลำแก่นเขากะปง เขาพังงา และแนวเทือกเขาภูตาจอที่ตั้งตระหง่านอยู่ในแนวหลังมองเห็นเด่นสุด เขาไข่นุ้ยเดิมเป็นพื้นที่ทำสวนยางของชาวบ้าน พวกเขาเห็น ทะเลหมอกกันจนชินตา แต่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ จนเมื่อทางอบต.ไปพบและทำการประชาสัมพันธ์ออกไปก็ได้รับ การตอบรับอย่างดีเยี่ยมเขาไข่นุ้ย มีจุดเด่นอยู่ที่ 5 มหัศจรรย์ คือ 1.พระอาทิตย์ขึ้น 2.พระอาทิตย์ตก 3.ทะเลหมอก 4.ทะเลอันดามัน และ 5.ทิวเขา
ถ้ำพุงช้าง
มหัศจรรย์ถ้ำพุงช้าง จ.พังงา หนึ่งใน Unseen Thailand ของเมืองไทย ถ้ำพุงช้าง จ.พังงา เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ และคุ้มค่าแก่การค้นพบเป็นอย่างยิ่ง ทริปนี้ดูเอเซียดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ดูเอเซียไปสัมผัสกับความงดงามและมหัศจรรย์ ของหินงอก หินย้อย รูปทรงแปลกตา สวยงามมาก ๆ ที่ “ภูเขาช้าง” หรือ “ถ้ำพุงช้าง” แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากน้ำมือคือธรรมชาติล้วน ๆ ภายใน ภูเขาช้าง สัญลักษณ์ของเมืองพังงาซึ่งรูปลักษณ์คล้ายช้างหมอบนี้ มี ถ้ำพุงช้าง ซึ่งอยู่ภายในบริเวณวัดประจิมเขต หลังศาลากลางจังหวัด ถนนเพชรเกษม เป็นถ้ำใหญ่ที่อยู่ใจกลาง ภูเขาช้าง ซึ่งเรียกบริเวณนี้ว่า ” พุงช้าง ” ประกอบด้วยถ้ำเล็กถ้ำใหญ่มากมายและเป็นถ้ำที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เคยเสด็จฯมาเยือน และได้ทรงลงพระปรมาภิไธยไว้ทางด้านหน้าของถ้ำ ภายในถ้ำมีความงดงามและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติของหินงอกหินย้อยที่มีสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง มีสายน้ำไหลผ่านกลางถ้ำตลอดปี แสดงให้เห็นถึงการไหลเวียนและการถ่ายเทของอากาศตลอดเวลา มีทั้งช่วงน้ำลึกและช่วงน้ำตื้น ในตลอดการเดินทางเข้าไปในถ้ำจะสัมผัสได้ถึงระดับความลึกของน้ำที่ไม่เท่ากัน การเที่ยว ถ้ำพุงช้าง ถือได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย เพราะนักท่องเที่ยวจะต้องเดินลุยน้ำ นั่งแพ และนั่งเรือแคนนู เพื่อเข้าไปชมหินงอกหินย้อยที่เป็นฝีมือธรรมชาติ หยดน้ำที่หยดจากติ่งปลายของหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟฉายของเรา ก็เกิดประกายเหมือนประกายเพชร ถ้าได้มีโอกาสไปเห็นด้วยตาตนเอง จะบอกว่า สวยงามเกินบรรยายค่ะ หินงอกหินย้อยมีลักษณะของรูปคนตกปลา รูปแป๊ะยิ้ม รูปปลา โดยเฉพาะช้างหลากรูปแบบที่แปลกตาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เรียกได้ว่า แล้วแต่จินตนาการของคุณด้วยค่ะ ว่าจะสามารถมองเห็นเป็นรูปอะไร ไม่ว่าจะเป็นหินงอกหินย้อยรูปช้างร้อย ๆ เชือกเดินตามกันเป็นวงรอบ หินงอกรูปช้างนั่งอยู่ใต้©ัตรภายในถ้ำ บันไดสีทองเกิดจากหินงอกอันวิจิตรยิ่งเมื่อถูกแสงไฟจะเป็นประกายสวยงามมาก การเดินเที่ยว ถ้ำพุงช้าง ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงด้วยกัน
ศาลากลางหลังเก่า
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของคุกกี้ที่เราจัดเก็บ เหตุผลในการใช้คุกกี้ และวิธีการตั้งค่าคุกกี้ได้ใน นโยบายคุกกี้ และ คำแถลงว่าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล